ว่า กันถึง….”เงินสวัสดิการแห่งรัฐ” ?

 

ก็เริ่มประกาศใช้และมีผลบังคับกันไปเป็นที่เรียบร้อยละ สำหรับ “เงินสวัสดิการแห่งรัฐ” ที่ทางรัฐบาลจัดสรรให้กับผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ โดยพิจารณาจากเกณฑ์เงินรายได้ของแต่ละบุคคล โดยจะได้รับสิทธิ์กันรายละ ๒๐๐-๓๐๐ บาทต่อเดือน โดยการใช้สิทธิผ่านเครื่องอิเลคทรอนิกส์จากร้านค้าธงฟ้าประชารัฐหรือร้านค้าที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดในการซื้อสินค้าที่จำเป็นต่อการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน ไม่ว่า จะเป็นข้าวสาร ผงชักฟอก สบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ ผนวกกับสิทธิ์อื่น ๆ เช่น การโดยสารรถยนต์ประจำทาง รถไฟ รถเมล์ รวมทั้งสิทธิ์การลดราคาแก๊สถังละ ๔๕ บาทในห้วงเวลา ๓ เดือน

จากการติดตามการใช้สิทธิ์ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” นั้นในระยะแรกก็คงมีปัญหา ข้อขัดข้องหลากหลายให้ได้แก้ไข รวมทั้งมีหลายคน หลายกลุ่ม ที่ไม่มีชื่อ ไม่มีสิทธิ์ รายชื่อตกหล่น ซึ่งทางราชการก็เปิดโอกาสให้ประชาชนที่ยังเข้าใจว่าตนเองมีสิทธิ์ ได้รับเงินดังกล่าวยื่น”อุทธรณ์” เพื่อพิสูจน์สิทธิ์ เพื่อพิสูจน์ถึงสิทธิดังกล่าว เลยไปถึงข้อครหาที่บอกว่าหลายร้านค้าที่รับรูดบัตรไม่ได้แสดงรายการหรือชื่อของสินค้า มีแต่เพียงตัวเลขบอกราคา ซึ่งอาจจะมีการแอบอ้างหรือยัดไส้สินค้าอื่นนอกเหนือจากสินค้าอุปโภคบริโภคที่กำหนดไว้ในการให้ความช่วยเหลือตามนโยบายของรัฐบาลรวมไปถึง ที่มีการกล่าวหาว่า มีการจ่าย ”เงินสด” แทนการใช้สิทธิ์การซื้อสินค้า

ทั้งหมดทั้งปวงล้วนแต่เป็นปัญหา เรื่องราวที่มีและเกิดขึ้นแล้ว จะต้องมีการปรับกระบวนท่าในการพิจารณาแก้ไข เพื่อให้นโยบายในการให้ความช่วยเหลือของรัฐบาลเป็นไปตามเป้าหมายและเจตนารมณ์ที่ว่าไว้ รวมทั้งปัญหาที่ต้องแก้ไขต่อเนื่อง ไม่ว่า จะเป็นจำนวนร้านค้าที่รับบัตร สินค้าที่อยู่ในความต้องการและจำเป็นต่อการครองชีพ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในระบบการค้าเสรีที่เป็นอยู่สำหรับร้านค้าหรือผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ด้วย

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ก็อยากให้ประชาชนผู้ที่ได้รับสิทธิ์ น เงินสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งหลาย ได้สำนึกว่า เงินจำนวนดังกล่าวที่รัฐจัดสรรไปเป็นเงินสวัสดิการนั้น ล้วนแล้ว เป็นเงินที่มาจาก ภาษีอากรของคนทั้งประเทศ ที่เจียดจ่ายออกมาเป็นเงินสวัสดิการดังกล่าว ซึ่งก็ควรที่จะใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้นเอง